วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

รูปแบบการวิจัย (Research Design)


รูปแบบการวิจัย (Research Design)
http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm#06-11 กล่าวไว้ว่า รูปแบบการวิจัย เปรียบเสมือนโครงสร้างของบ้าน จะมีลักษณะอย่างไร ขึ้นกับคำถาม และวัตถุประสงค์ของการวิจัย ส่วนระเบียบวิธีวิจัย (research methodology) เปรียบเสมือนการตกแต่งภายใน ซึ่งจำเป็นต้องสอดคล้องกับโครงสร้างของบ้าน (design) ดังนั้น ในการเขียนโครงร่างการวิจัย จึงจำเป็นต้อง กำหนดรูปแบบการวิจัยที่เหมาะสม
การจำแนกรูปแบบการวิจัย ตามวิธีการดำเนินการวิจัย สามารถแบ่งการวิจัยได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ การวิจัยโดยการสังเกต (observational research) และการวิจัยเชิงทดลอง(experimental research) ขึ้นอยู่กับว่า ตัวแปรอิสระ ซึ่งอาจได้แก่ ปัจจัยเสี่ยง (risk factor หรือ exposure) หรือสิ่งที่เราต้องการประเมิน หรือทดสอบ (เช่น ยา วิธีการรักษา โครงการต่าง ๆ) ซึ่งเรียกว่า "สิ่งแทรกแซง" (intervention) นั้น ผู้วิจัยเป็นผู้กำหนด (assign) ให้กับตัวอย่างที่นำมาศึกษา หรือตัวอย่างที่นำมาศึกษานั้น ได้รับปัจจัยเสี่ยงนั้นอยู่แล้ว ในชีวิตประจำวัน หรือได้รับอยู่แล้ว ตามธรรมชาติ (ที่เรียกว่า natural exposure) โดยที่ผู้วิจัย ไม่ได้เข้าไปควบคุม หรือแทรกแซงแต่อย่างใด
การวิจัยใดก็ตาม ที่ผู้วิจัยมีการ กำหนดปัจจัยเสี่ยง หรือกำหนดสิ่งแทรกแซง ให้กับตัวอย่างที่นำมาศึกษา แล้วติดตามดูผล ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การวิจัยชนิดนี้ เรียกว่า การวิจัยเชิงทดลอง
การวิจัยใดก็ตาม ที่ผู้วิจัยไม่มีการกำหนดปัจจัยเสี่ยง หรือสิ่งแทรกแซง ให้กับตัวอย่างที่นำมาศึกษา แต่ตัวอย่างเหล่านั้น ได้รับ หรือสัมผัส กับปัจจัยเสี่ยงนั้น ๆ อยู่แล้ว ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเขา โดยผู้วิจัย เป็นแต่เพียงเฝ้าติดตาม สังเกตดูผลที่จะเกิดขึ้น การวิจัยที่เป็นแต่เพียง การเฝ้าสังเกตนี้ จึงได้ชื่อว่า การวิจัยโดยการสังเกต (observational research)
การวิจัยโดยการสังเกต สามารถจำแนกได้เป็น 2 ชนิด ขึ้นอยู่กับว่า การวิจัยนั้น มีกลุ่มควบคุม (Control group) หรือ กลุ่มเปรียบเทียบ (comparison group) หรือไม่ดังนี้
ก. การวิจัยโดยการสังเกตเชิงพรรณนา (Observational Descriptive Studies) เป็นการวิจัยโดยการสังเกต ที่ไม่มีกลุ่มเปรียบเทียบ อาจจำแนกได้เป็น 2 ชนิด ตามเกณฑ์ลำดับเวลาที่ศึกษา คือ
        (1) การวิจัยเชิงพรรณา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง (แบบตัดขวาง) (Cross-sectional Descriptive Studies)
                    (2) การวิจัยเชิงพรรณนาระยะยาว (Longitudinal Descriptive Studies)
ข. การวิจัยโดยการสังเกตเชิงวิเคราะห์ (Observational Analytic Studies) เป็นการวิจัยโดยการสังเกต ที่มีกลุ่มควบคุม หรือกลุ่มเปรียบเทียบ อาจจำแนกได้เป็น 3 แบบ ตามเกณฑ์ของเวลาที่ีศึกษา
      (1) การวิจัยเชิงวิเคราะห์ชนิดไปข้างหน้า (Prospective Analytic Studies หรือ Cohort Studies) เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ ที่เริ่มศึกษาจากเหตุ ไปหาผล
                    (2) การวิจัยเชิงวิเคราะห์ชนิด
                    (3) การวิจัยเชิงวิเคราะห์ ณ จุดเลาใดเวลาหนึ่ง (Cross-sectional Analytic Studies) เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์ ที่ผลและเหตุเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ในจุดที่ทำการศึกษา ไม่ทราบว่าใครเกิดก่อน เกิดหลัง
การเลือกรูปแบบการวิจัยที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับคำถาม หรือปัญหาการวิจัย ที่ต้องการหาคำตอบ ในการศึกษา เพื่อแสวงหา คำตอบของคำถาม ควรประกอบไปด้วย กระบวนการศึกษาที่ครบวงจร โดยเริ่มตั้งแต่ การศึกษาขนาดของปัญหา ว่ามีมากน้อยเพียงใด (ศึกษาเกี่ยวกับทุกข์) เมื่อทราบว่าโรคนั้นเป็นปัญหา ขั้นต่อไปก็คือการศึกษา ต้นเหตุของปัญหา (สมุทัย) การศึกษาหาต้นเหตุของปัญหา ทำให้สามารถกำหนดกลยุทธ์ ในการแก้ปัญหา (นิโรธ) และขั้นต่อไปก็คือ การเลือกแนวทางแก้ไขปัญหา
การเลือกรูปแบบการวิจัย ให้สอดคล้องกับคำถามของการวิจัย ได้สรุปไว้ในภาพ

ภาพแสดงการเลือกรูปแบบการวิจัยตามคำถามของการวิจัย

คำถามหรือวัตถุประสงค์ของการวิจัย
รูปแบบการวิจัยที่ควรเลือก
1. ศึกษาขนาดของปัญหา
2. ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของโรค
3. ศึกษาคุณสมบัติของเครื่องมือในการวินิจฉัยโรค
4. ศึกษาต้นเหตุของโรค
5. ประเมินผลการให้บริการ
การวิจัยโดยการสังเกตเชิงพรรณนา
การวิจัยโดยการสังเกตเชิงพรรณนา
การวิจัยโดยการสังเกตเชิงพรรณนา
การวิจัยโดยการสังเกตเชิงวิเคราะห์
การวิจัยโดยการทดลอง





http://5kanlayaporn20.multiply.com/journal/item/91?&show_interstitial=1&u=%2Fjournal%2Fitem กล่าวไว้ว่า การวิจัยทางการศึกษานั้นสามารถจัดได้หลายแบบแล้วแต่ว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ซึ่งพอสรุป ได้ดังนี้
            1. ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                         - เชิงประวัติศาสตร์
                         - เชิงบรรยาย
                        - เชิงทดลอง
            2. ใช้จุดมุ่งหมายของงานวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                        - บริสุทธิ์
                        - ประยุกต์
                        - เชิงปฏิบัติการ
             3. ใช้ลักษณะและวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                        - เชิงปริมาณ
                        - เชิงคุณภาพ
            4. ใช้ลักษณะศาสตร์และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                        - วิทยาศาสตร์
                        - สังคมศาสตร์
                        - มนุษยศาสตร์
            5. ใช้วิธีการควบคุมตัวแปรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                        - เชิงทดลอง
                        - เชิงกึ่งทดลอง
                        - เชิงธรรมชาติ



บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์.(2533:16).  กล่าวไว้ว่า รูปแบบการวิจัย (Research Design)เป็นการสำรวจให้ทราบว่าประเด็นปัญหาในทำนองที่สนใจนั้น มีใครทำวิจัยโดยใช้รูปแบบการวิจัยอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษามีอะไรบ้าง มีการควบคุมตัวแปรภายนอกอย่างไร มีอะไรบ้างเป็นประชากร สุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการอย่างไร เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร ใช้สถิติอะไรบ้าง

สรุป
รูปแบบการวิจัย (Research Design) มี 2 แบบ คือ การวิจัยโดยการสังเกต (observational research) และการวิจัยเชิงทดลอง (experimental research)  ขึ้นอยู่กับว่า ตัวแปรอิสระ ซึ่งอาจได้แก่ ปัจจัยเสี่ยง หรือสิ่งที่เราต้องการประเมิน หรือทดสอบ ซึ่งเรียกว่า "สิ่งแทรกแซง"(intervention) สิ่งแทรกแซง มี 2 แบบ คือ
1.การวิจัยเชิงพรรณนา (Observational Descriptive Studies) ไม่มีกลุ่มควบคุม หรือกลุ่มเปรียบเทียบ
2.การวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Observational Analytic Studies) มีกลุ่มควบคุม หรือกลุ่มเปรียบเทียบ 
รูปแบบการวิจัย เปรียบเสมือนโครงสร้างของบ้าน จะมีลักษณะอย่างไร ขึ้นกับคำถาม และวัตถุประสงค์ของการวิจัย ส่วนระเบียบวิธีวิจัย (research methodology) เปรียบเสมือนการตกแต่งภายใน ซึ่งจำเป็นต้องสอดคล้องกับโครงสร้างของบ้าน (design) ดังนั้น ในการเขียนโครงร่างการวิจัย จึงจำเป็นต้อง กำหนดรูปแบบการวิจัยที่เหมาะสม  และการวิจัยทางการศึกษานั้นสามารถจัดได้หลายแบบแล้วแต่ว่าจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ซึ่งพอสรุป ได้ดังนี้
            1. ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                         - เชิงประวัติศาสตร์
                         - เชิงบรรยาย
                        - เชิงทดลอง
            2. ใช้จุดมุ่งหมายของงานวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                        - บริสุทธิ์
                        - ประยุกต์
                        - เชิงปฏิบัติการ
             3. ใช้ลักษณะและวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                        - เชิงปริมาณ
                        - เชิงคุณภาพ
            4. ใช้ลักษณะศาสตร์และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                        - วิทยาศาสตร์
                        - สังคมศาสตร์
                        - มนุษยศาสตร์
            5. ใช้วิธีการควบคุมตัวแปรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
                        - เชิงทดลอง
                        - เชิงกึ่งทดลอง
                        - เชิงธรรมชาติ

แหล่งอ้างอิง
http://5kanlayaporn20.multiply.com/journal/item/91?&show_interstitial=1&u=%2Fjournal%2Fitem  
เข้าถึงเมื่อ 29/01/2556 
http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm#06-11 เข้าถึงเมื่อ  09/01/2556

บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์.  (2533).  การวิจัย การวัดและประเมินผล.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ศรีอนันต์.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น